| 
   
คำว่า “โอเบลิสก์” (Obelisk) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ  Obeliskos หมายถึง เหล็กแหลม เข็ม  หรือ เสาปลายแหลม ลักษณะของเสาโอเบลิสก์จะเป็นเสาสูง สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว ฐานของเสาจะกว้างและค่อยๆ เรียวแหลมขึ้นสู่ยอดด้านบนเป็นแท่งสี่เหลี่ยมสี่ด้าน ยอดบนสุดจะเป็นลักษณะเหมือนปิรามิด และมักนิยมหุ้มหรือเคลือบด้วยโลหะ เช่น ทองคำ เหล็ก หรือ ทองแดง เป็นต้น 
  
  เสาโอเบลิสก์เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะที่มีต้นกำเนิดจากอียิปต์โบราณ เป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางสู่วิหารเทพเจ้า ปกติจะนิยมสร้างขึ้นเป็นคู่ ตั้งอยู่ ณ บริเวณทางเข้าวิหาร ตัวอย่างเช่นที่ วิหารลักซอร์ หรือ วิหารคาร์นัค เป็นต้น บริเวณรอบๆ เสาโอเบลิสก์จะแกะสลักเป็นร่องลึกด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิค บอกเล่าถึงฟาโรห์ผู้สร้าง และเรื่องราวของการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า ดังนั้น เสาโอเบลิสก์จึงเป็นเสมือนหนึ่งเสาอนุสรณ์ บ่งบอกถึงนัยยะแห่งที่ตั้งของสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์โบราณ 
  
  เสาโอเบลิสก์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือ  โอเบลิสก์ของฟาโรห์ซีนุสเร็ตที่ 1 (The Obelisk of Senusret I ) 
  
“โอเบลิสก์” หรือ “เสาโอเบลิสก์” เป็นที่รู้จักกันในโลกตะวันตก มาจากคำพรรณนาของนักปราชญ์กรีกนามว่า ฮีโรโดตุส (Herodotus) ซึ่งได้เดินทางไปเห็นโอเบลิสก์ที่อียิปต์ และได้ลงบันทึกเขียนเล่าถึงลักษณะของโอเบลิสก์จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปทั้งในกรีก และโรมัน 
  ที่มาแห่งแรงบันดาลใจในการสร้างเสาโอเบลิสก์นั้น  สันนิษฐานว่า “โอเบลิสก์” น่าจะเป็นสัญลักษณ์แห่งสุริยะเทพรา(Ra) หรือ อามอน เร (Amon Re) ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดเหนือเหล่าเทพทั้งปวง  ในประเด็นดังกล่าวนี้ ยังสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานในงานค้นคว้าเรื่องโอเบลิสก์ของนักประวัติศาสตร์อียิปต์คือ แพทริเซีย แบล็คเวล การ์รี่ (Patricia Blackwell Gary) กับนักดาราศาสตร์ ริชาร์ด ทัลคอต (Richard Talcott) ที่กล่าวว่า รูปร่างของเสาโอเบลิสก์นั้น ชาวอียิปต์โบราณน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า Sun pillar หรือ เสาสุริยะ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของลำแสงพระอาทิตย์เมื่อฉายแสงยามรุ่งอรุณ และยามอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า  แสงจากดวงอาทิตย์เมื่อส่องประกายริมขอบฟ้าเหนือท้องทะเล จะสะท้อนกับผิวน้ำ จนแลดูคล้ายเสาสุริยะ หรือสัญลักษณ์แห่งสุริยะเทพรา 
  
  | 
 | 
  | 
 
| ปรากฏการณ์ Sun pillar หรือ เสาสุริยะ | 
 | 
เสาโอเบลิกส์ลาเตรัน (Lateran Obelisk) | 
 
 
 
  
มีบันทึกว่า  เสาโอเบลิสก์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด และยังคงอยู่ในปัจจุบันนั้น คือ เสาโอเบลิสก์ของฟาโรห์ซีนุสเร็ตที่ 1 (The Obelisk of Senusret I ) ซึ่งเป็นฟาโรห์ในสมัยราชวงศ์ที่ 12 ( 1991 – 1786 ปีก่อนค.ศ. ) เป็นเสาโอเบลิสก์จากหินแกรนิตแดง สูง 68 ฟุต หนัก 120 ตัน ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ Al-Matariyyah กรุงไคโร ประเทศอียิปต์    ส่วนเสาโอเบลิสก์ที่มีความสูงที่สุดในโลกนั้น คือ เสาโอเบลิกส์ลาเตรัน (Lateran Obelisk) มีขนาดความสูงถึง 105.6 ฟุต หนัก 455 ตัน  ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ลานจัตุรัสหน้า Lateran Basilica กรุงโรม ประเทศอิตาลี 
  แม้ว่า  โอเบลิสก์จะมีต้นกำเนิดจากอียิปต์โบราณ แต่เมื่อยามอียิปต์เสื่อมอำนาจลง เสาโอเบลิสก์ได้กลายมาเป็นที่นิยมของมหาอำนาจแห่งอาณาจักรโบราณ คือ จักรวรรดิโรมัน  ที่ได้ขนย้ายเสาโอเบลิสก์ไปสู่โรมันเป็นจำนวนมาก ทำให้ในทุกวันนี้ มีปรากฏเสาโอเบลิสก์ในดินแดนเดิมของโรมัน ซึ่งก็คือ ชาติตะวันตกหลายประเทศในยุโรปมากกว่าเสาโอเบลิสก์ที่มีหลงเหลืออยู่ในประเทศอียิปต์ปัจจุบัน 
  เสาโอเบลิสก์ของอียิปต์โบราณที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกทุกวันนี้ มีจำนวน 29 เสา  เป็นเสาที่ตั้งอยู่ในประเทศอียิปต์ปัจจุบันจำนวน 9 เสา ส่วนอีก 20 เสานั้น กระจายกันอยู่ในประเทศต่างๆ คือ ในประเทศอิตาลี 11 เสา (รวมนครรัฐวาติกัน)  สหราชอาณาจักร 4 เสา  ส่วนในประเทศฝรั่งเศส โปแลนด์ อิสราเอล ตุรกี และ สหรัฐอเมริกา  มีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ประเทศละ 1 เสา 
  
 
เรื่องโดย ปิยะแสง  จันทรวงศ์ไพศาล (17)  pisaeng@gmail.com  21 July 2009
  
ผลงานอื่นๆ ของ ปิยะแสง เช่น  หนังสือ 108  สัญญลักษณ์จีน, ศิลปะ จีนสมัยใหม่, มหัศจรรย์ แห่งสัญลักษณ์ เครื่องราง และเคล็ดลับนำโชค (Field Guide to LUCK) ฯลฯ 
  
  
   |